ด้วยอานุภาพของเทคโนโลยีดาวเทียมทำให้สังคมเริ่มเข้าใจชัดเจนโดยลำดับว่าพื้นที่เกิดไฟไหม้ในภาคเหนือ ช่วงวิกฤตมลพิษฝุ่นควันก็คือ ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ แต่ละปีมีพื้นที่ถูกเผาไหม้ (burned scars) ในภาคเหนือตอนบน 10 จังหวัด (รวมตาก) ระหว่าง 7-10 ล้านไร่โดยประมาณ การจะจัดการกับการเผาไหม้ขนาดใหญ่ระดับนี้ เป็นเรื่องท้าทายการบริหารจัดการอย่างยิ่ง พื้นที่เผาไหม้ที่ยากจัดการที่สุดก็คือไฟแปลงใหญ่ ที่มีพื้นที่การไหม้ลุกลามกว้างขวาง และไหม้ต่อเนื่องหลายวัน ไฟใหญ่ลักษณะนี้ยากที่หน่วยดับไฟป่าจะสามารถตามไปไล่ดับได้ทัน ต้องปล่อยให้ลามไปจนหมดเชื้อเพลิงไปเอง หรือ อย่างดีก็ทำแนวกันไฟดักไว้
ไฟแปลงใหญ่ จึงเป็นสาเหตุลำดับต้นๆ ของปัญหาเรื้อรังวิกฤตมลพิษฝุ่นควันไฟในภาคเหนือ เชื้อเพลิงชีวมวลในพื้นที่ไหม้ระดับหมื่นแสนไร่ คือแหล่งกำเนิดมลพิษขนาดใหญ่ แต่ในทางปฏิบัติตลอดหลายปีมานี้แทบไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเท่าใด
.
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา นายวิทยา ครองทรัพย์ สภาลมหายใจภาคเหนือ และ ดร.พลภัทร เหมวรรณ ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะทำงานด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นตัวแทนเครือข่ายผลักดันการแก้ปัญหามลพิษอากาศเข้าประชุมนำเสนอข้อปัญหานี้ให้กับ คณะกรรมการสมาชิกวุฒิสภาภาคเหนือตอนบน โดยมีจนท.จากหน่วยงานเกี่ยวข้องอาทิ กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมด้วย ทั้งนี้การประชุมเกิดจากการผลักดันจากสภาลมหายใจภาคเหนือผ่าน ส.ว.ยงยุทธ สาระสมบัติ ที่ติดตามข้อปัญหานี้อยู่

นายวิทยา ครองทรัพย์ กล่าวว่าตนได้นำเสนอสภาพของภาคเหนือที่มีป่าไม้เป็นสัดส่วนกว่า 65% และไฟที่เกิดส่วนใหญ่ก็เกิดในป่า สถิติก่อนหน้าชัดเจนว่ามีการไหม้แปลงใหญ่ในเขตป่าและเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดอำเภอ ที่ถูกละเลยจนเกิดเป็นการลุกลามไหม้ต่อเนื่องข้ามวันในระดับหมื่น หรือ แสนไร่ โดยพื้นที่ซึ่งประชาชนจับตาเป็นพิเศษ มี 6 เขตสำคัญคือ
- เขตพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบเขื่อนภูมิพล นำโดย อ.สามเงา อ.บ้านตาก อ.แม่ระมาด เฉพาะสามอำเภอมีพื้นที่เผาไหม้เฉลี่ยปีละ 8-9 แสนไร่ เนื่องด้วยเป็นเขตป่าเขา คมนาคมลำบาก และห่างไกลจากตัวเมืองส่งกำลังสนับสนุนยาก ประกอบกับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่แบบเดิม จะมีเฉพาะหน่วยดับไฟป่า เพียง 1-2 หน่วยเท่านั้น
- เขตรอยต่อ 4 จังหวัด อ.สามเงา ตาก ตอนบน อ.ลี้ลำพูน อ.อมก๋อย เชียงใหม่ เขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง และอุทยานแห่งชาติแม่วะ มีไฟจำนวนมากในแต่ละปี พื้นที่ส่วนนี้นอกจากเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดแล้ว ยังห่างไกล คมนาคมลำบาก มีความทับซ้อนในเชิงบริหารจัดการระหว่างกรมอุทยานฯ กับ จังหวัดเขตปกครอง ขาดเจ้าภาพสั่งการในภาพรวม พื้นที่ส่วนนี้เป็นเขตไฟใหญ่สุดของภาคเหนือเป็นประจำทุกปี และเป็นต้นทางของฝุ่นควัน เพราะลมในเดือนกุมภาพันธ์-กลางมีนาคม จะพัดจากใต้ขึ้นเหนือ ไปยังชุมชนในแอ่งเชียงใหม่ลำพูนและลำปาง
- เขตชายแดนตะวันตก แม่สะเรียง เป็นเขตป่าเขาซับซ้อนยากดับไฟ ไฟลามง่าย และมีไฟข้ามแดนจากพม่าเข้ามาบ่อยๆ สถิติเมื่อปี 2563 อ.แม่สะเรียง อำเภอเดียว มีรอยไหม้สูงถึง 3.68 แสนไร่ ไฟจากพื้นที่นี้ เป็นทางเข้าแอ่งเชียงใหม่
- ปางมะผ้า ปาย เชียงดาว ป่าตอนบน ไฟส่วนนี้ไหม้ลาม ดับยากเพราะเป็นเขตป่าเขาสูง คมนาคมลำบาก บ่อยครั้งต้องปล่อยให้ลามและดับเอง สถิติปี 2563 เฉพาะ อ.ปาย ไหม้ถึง 3.97 แสนไร่ รวมเขตนี้สามอำเภอไหม้รวมไม่น้อยกว่า 6 แสนไร่ และเป็นต้นทางลมพัดเฉียงเข้าจังหวัดเชียงรายผ่าน ร่องเขาด้านอ.ไชยปราการ เชียงใหม่เข้า อ.แม่สรวย เชียงราย และอ.เมืองเชียงราย การที่จ.เชียงราย แม้จะมีไฟน้อย แต่มลพิษสูง ทางหนึ่งมาจากฝุ่นควันไฟในรัฐฉาน แต่ลมตะวันตกจะพัดแรงชัดเจนราวกลางมีนาคมเป็นต้นไป อีกทางหนึ่งมาจากไฟเขตนี้ คือ ปางมะผ้า ปาย เชียงดาว
- แม่โถ ออบขาน แม่แจ่ม เชียงใหม่ เป็นไฟใหญ่ด้านทิศใต้ของแอ่ง เป็นต้นลมและมลพิษหลักที่พัดเข้าสู่ตัวจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ที่มีประชากรหนาแน่น ไม่ใช่แค่ไฟป่า หรือ ชาวบ้านลักลอบเผา เมื่อปีที่ผ่านมา กรมอุทยานและกรมป่าไม้ ได้ทำการชิงเผา บริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ดังกล่าวหลักแสนไร่ และมีการตรวจพบว่าไฟที่ชิงเผาของรัฐไหม้ลามในกลางคืน ไม่ได้จัดการดับให้หมดภายในวันเดียว ตามหลักวิชาการ ดังนั้นไฟจากภาครัฐเองก็มีส่วนสำคัญ
- พื้นที่สุดท้าย ที่เป็นไฟใหญ่พิเศษเพิ่มขึ้น คือลำปางทั้งจังหวัดซึ่งเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ไหม้รวมกันมากกว่า 1.3 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ก่อนหน้าประกาศห้ามเผาเด็ดขาด ทำให้ลำปางเกิดมลพิษอากาศเกินค่ามาตรฐานสูงสุดในภาคเหนือตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ไฟที่ไหม้ใหญ่พร้อมกันในช่วงเวลาเดียวทั้งจังหวัด แต่จะอยู่นอกคำประกาศห้ามเผา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยรวม
.
สถิติของ GISTDA ทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงไฟแปลงใหญ่ที่เกิดอำเภอห่างไกล และมีเขตติดต่อคาบเกี่ยวกัน พื้นที่เผาไหม้ burned scars เมื่อปี 2563 รายอำเภอ สูงสุด 12 อันดับ ที่ไหม้เกิน 2 แสนไร่ ได้แก่
- อันดับ 1 อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีพื้นที่เผาไหม้ 465,102 ไร่
- อันดับ 2 อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่ไหม้ 397,925 ไร
- อันดับ 3 อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 368,783 ไร่
- อันดับ 4 อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน 354,343 ไร่
- อันดับ 5 อ.เมืองตาก จ.ตาก 303,929 ไร่
- อันดับ 6 อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ 257,624 ไร่
- อันดับ 7 อ.นาน้อย จ.น่าน 237,830 ไร่
- อันดับ 8 อ.เถิน จ.ลำปาง 236,772 ไร่
- อันดับ 9 อ.ลี้ จ.ลำพูน 227,645 ไร่
- อันดับ 10 อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 227,365 ไร่
- อันดับ 11 อ.บ้านตาก ตาก 210,763 ไร่
- อันดับ 12 อ.ปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน 207,747 ไร่
จึงไม่ใช่แค่ปัจจัยสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ที่มีมากแค่เพียงปัจจัยเดียว ปัจจัยระยะทางที่ห่างไกล การคมนาคมยากลำบาก และการอยู่ในพื้นที่ต่อเชื่อมกันระหว่างอำเภอที่มีไฟมากด้วยกัน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ยังกรณีพื้นที่ต่อเชื่อมระหว่างอำเภอและระหว่างจังหวัด เช่น อ.สามเงา กับ อ.ลี้ ที่ต่างก็อยู่ในลำดับต้นของพื้นที่เกิดไฟด้วยกัน ปัจจัยความทับซ้อนของพื้นที่ป่ากับชุมชน และที่สำคัญคือ บริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวนั้นยังไม่ได้ถูกเน้นย้ำ เจาะจงเป็นพิเศษด้วยเพราะเป็นอำเภอเล็กห่างไกลจากตัวจังหวัด

ดร.พลภัทร เหมวรรณ อีกหนึ่งตัวแทนที่เข้าไปชี้แจงได้นำเสนอสถิติที่ GISTDA สกัดพื้นที่แปลงใหญ่ไหม้ซ้ำซากโดยสถิติไหม้ซ้ำซากช่วง 5 เดือนของภาคเหนือ 9 จังหวัด (ไม่รวมอุตรดิตถ์) ที่น่าสนใจเช่น
- เขตไหม้ปางมะผ้า ปาย แม่ฮ่องสอน ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 387,430 ไร่
- เขตขุนยวม แม่ฮ่องสอน ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 108,196 ไร่
- เขตจอมทอง แม่แจ่ม ฮอด ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 108,389 ไร่
- เขตสามเงา ลี้ แม่พริก ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 48,340+30,242 ไร่ = 78,582 ไร่
- เขตติดต่อ สามเงา บ้านตาก จ.ตาก กับ อ.เถิน อ.แม่พริก ลำปาง 112,442 ไร่
- เขต แม่ระมาด บ้านตาก ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 65,053 ไร่
- เขต นาน้อย นาหมื่น เวียงสา น่าน ไหม้ซ้ำซากที่เดิม 48,624 ไร่
- เขต ไหม้ซ้ำซากลำปาง งาว แจ้ห่ม เมืองปาน วังเหนือ 67,803 ไร่
ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงแปลงใหญ่ที่ไหม้ซ้ำซากยังมีไหม้ขนาดกลางระดับ 3-5 หมื่นไร่อีก เช่น เขตไหม้เสริมงาม สบปราบ และเขตไหม้แม่สะเรียง เขตไหม้งาวแม่เมาะ เป็นต้น
เขตไหม้ดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำที่เดิมทุกปี ในระดับไม่น้อยกว่า 1 ล้านไร่ ซึ่งหากตัดมาพิจารณาเฉพาะ เขตแม่ฮ่องสอนกับตากที่เป็นต้นทางลมของภาคเหนือ รวมกันมากกว่า 8 แสนไร่
ดร.พลภัทร เหมวรรณ ระบุว่าเขตไหม้ตากส่วนใหญ่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ ตรงกับช่วงลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดอ้อมใต้ขึ้นมา ทำให้เป็นแหล่งต้นทางที่หอบเอาฝุ่นควันมลพิษเข้าสู่จังหวัดที่อยู่ตอนบน คือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ส่วนไฟไหม้ที่แม่ฮ่องสอนเกิดมากในเดือนมีนาคม และโชคร้ายที่กระแสลมเกิดเปลี่ยนทิศ เป็นลมตะวันตกเฉียงใต้พอดี ทำให้มลพิษจากแม่ฮ่องสอนถูกลมหอบไปยังจังหวัดภาคเหนือตอนในที่เหลือ ไฟไหม้แปลงใหญ่ที่บวกกับกระแสลมหอบเข้าพื้นที่ตอนในจึงเป็นปัญหาที่ควรแก้ไขอย่างจริงจัง
นายวิทยา ครองทรัพย์ กล่าวว่าวงประชุมให้ความสนใจข้อปัญหานี้แต่ก็ยอมรับถึงอุปสรรคข้อจำกัดกำลังพลเมื่อเทียบขนาดของป่าไม้และพื้นที่ไหม้ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรจะต้องมาลงรายละเอียดในรายเขตและรายแปลงว่าสามารถจะแก้ไขบรรเทาอย่างไรได้บ้างต่อไป
